วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

lastblog







* STORY

การเดินทางครั้งแรก เริ่มการเดินทางที่ เซาแธมทัน, อิงแลนด์ (Southampton, England) ในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1912 ควบคุมโดยกัปตัน เอ็ดเวิร์ด เจ. สมิธ (Edward J. Smith) เพื่อเดินทางไปยังนิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา ในการเดินทางครั้งนั้น มีผู้เดินทางรวมทั้งหมด 2217 คน แบ่งเป็นผู้โดยสารชั้น 1, ผู้โดยสารชั้น 2, ผู้โดยสารชั้น 3 และลูกเรือ

วันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1912 ขณะเดินทางอยู่ทางใต้ของแกรนด์แบงค์ ของนิวฟันด์แลนด์ เวลา 23.39 น. เวรยามที่เสากระโดงแจ้งว่าได้พบภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่อยู่ข้างหน้าเรือ ลูกเรือจึงได้เลี้ยวลำเรือเพื่อหลบเลี่ยง แต่เนื่องจากใบจักรและหางเสือที่มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับขนาดของเรือ ทำให้ผู้บังคับเรือซึ่งยังไม่ชินกับการบังคับเรือใหญ่ขนาดนี้ทำให้กะขนาดการ เลี้ยวผิด และชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็ง ที่ 41 องศา 46 ลิปดาเหนือ 50 องศา 14 ลิปดาตะวันตก เมื่อ23.40 น.

เรือได้ชนกับภูเขาน้ำแข็งทางกราบขวาหัวเรือ ซึ่งเป็นจุดอ่อนทนรอยแตกได้ไม่อึดเท่าจุดอื่นๆ และห้องเครื่องส่วนหัว 5 ห้องเครื่องแรกก็เกิดรอยรั่ว แต่หัวเรือเป็นจุดอ่อนที่สุดในเรือที่สามารถรับรอยแตกต่อเนื่องจากหัวเรือ ได้เพียง 4 ห้อง วิศวกรผู้สร้างเรือบอกว่า น้ำจะท่วมห้องเครื่องทั้งห้าสูงขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อท่วมมิดชั้นF เริ่มไหลขึ้นชั้นE น้ำจึงเข้าท่วมห้องเครื่องที่ 6 และท่วมไปทีละห้องๆ และจมในที่สุด ลูกเรือก็คิดว่าเรือคงจะจมเร็วมาก จึงปล่อยเรือบดออกทั้งๆที่ยังใส่คนไม่เต็มลำ

เวลา 02.20 น. ของวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1912 เรือทั้งลำจมลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ผู้โดยสารและลูกเรือ 2217 ชีวิต รอดชีวิตเพียง 704 ชีวิต เสียชีวิตทั้งหมด 1513 ราย

เวลาประมาณ 04.20 น. เรือโดยสารขนาดใหญ่ชื่อ "อาร์เอ็มเอส คาร์พาเธีย" (RMS Carpathia) ได้เข้าไปช่วยเหลือผู้รอดชีวิตบนเรือบดทั้งหมด และพาสู่นิวยอร์ก ในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1912 จากนั้น ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1985 ซากเรือไททานิคได้ถูกค้นพบอีกครั้ง


* MUSIC





 * MOVIE
http://fws.cc/zoneitzeed/index.php?topic=5687.0 

บทความสุดท้ายยยย :))

               บทความสุดท้ายของ
                                                  นางสาวศิริภัทร   จำปาศรี  ม.5/7  เลขที่12
                สำหรับบทความสุดท้ายในภาคเรียนที่ 1 นี้ดิฉันก็มีบทความมาฝากทุกๆคนเป็นบทความเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตจริงของดิฉันเองค่ะ
                                                      ความฝันที่ไม่ใช่แค่ฝัน
มนุษย์ทุกคนล้วนแต่เกิดมาต่างคนมีวามฝันและจินตนาการเป็นของตนเองที่ไม่เหมือนกัน แต่ละคนมีความฝันต่างกันไป ตามจินตนาการ สิ่งที่ทำให้เกิดความฝันของตัวเองนั้นอาจจะมีสาเหตุและปัจจัยมาจากสภาพแวดล้อมรอบข้าง เช่น อาชีพที่ใกล้ชิด บทบาทที่เคยชินหรือการได้พบเห็นสิ่งต่างๆรอบตัว จึงทำให้เกิดความฝันตามจินตนาการของแต่ละคนที่ได้สัมผัสบางคนอาจจะมีความฝันที่สวยหรู เช่น ฝันอยากเป็น แอร์โฮสเตส บางคนก็มีความฝันที่ธรรมดา เช่น อยากเป็นคุณครู ทหาร ตำรวจ ซึ่งอาชีพเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เกิดมาจากจินตนาการในวัยเด็ก
เมื่อตอนวัยเด็กฉันฝันอยากจะเป็น คุณครู สาเหตุคงมาจาก การได้เห็นและใกล้ชิดบทบาทหน้าที่นี้มากที่สุด จึงทำให้มีจินตนาการและฝันอยากเป็น คุณครู สอนหนังสือเด็กๆในโรงเรียน และรักที่จะสอนหนังสือ แต่เมื่อร่างการมีการพัฒนาการเจริญเติบโตทำให้ความฝันของฉันเริ่มเปลี่ยนไปตามความคิดและสภาพแวดล้อมที่ได้สัมผัส เมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงวันรุ่นฉันก็ละทิ้งความฝันที่อยากจะเป็น คุณครู เพราะมีความฝันอย่างอื่นเข้ามาแทนที่ นั่นคือ นักพัฒนาชุมชน หรือองค์กรระหว่างประเทศ อาจจะดูโอเว่อร์ไปนิดนึง แต่อย่างน้อยมันก็คือความฝันที่ฉันอยากจะเป็น ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุมาจากที่ชุมชนของฉันเต็มไปด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี และฉันคิดว่าหลายๆที่ก็คงจะเป็นเช่นกันเพราะขาดการพัฒนาอย่างจริงจัง  ฉันได้เลือกเรียนต่อในแผนการเรียนภาษาอังกฤษ-คณิตศาสตร์ ในระดับมัธยมปลาย จึงทำให้ฉันสามารถเลือกเรียนใน คณะสังคมศาสตร์ได้ แต่เมื่อใครๆได้ยินความฝันของฉันแล้วต่างพากันพูดเป็นเสียงเดียวว่า ไม่มีทางซึ่งตัวฉันก็คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้เช่นเดียวกัน แต่ฉันจะทำให้ได้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันอาจจะเป็นไปได้ยากที่ฉันจะไปถึงจุดๆหนึ่งของตำแหน่งหน้าที่  แต่เมื่อถึงเวลานั้นที่ฉันได้ไปถึงจุดๆนั้นแล้ว ฉันคิดว่ามันคงเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจและพอใจแล้วสำหรับฉัน ถึงแม้วันนี้ความฝันของฉันนั้นยังไม่เป็นจริง แต่ฉันก็ไม่ละความพยายามที่จะให้ตัวเองไปให้ถึงจุดๆนั้นให้ได้  เพื่อสักวันจะสามารถทำความฝันของตนเองให้เป็นจริง!!!!
                          
 *********** เป็นยังไงกันบ้างคะ ความฝันเว่อร์ไปมั๊ย555***********

                  
   ดิฉันก็มีกลอนเกี่ยวกับความฝันมาฝากทุกคนด้วยนะคะ มันก็ไม่ค่อยเพราะเท่าไหร่แต่ก็ตั้งใจแต่งจริงๆนะ!!!!

ความฝันฉันเมื่อวัยเยาว์คือเป็นครู
ฉันมองดูพ่อแม่สอนสั่งให้
พ่อฉันถามลูกจ๋าเข้าใจไหม
ตอบทันใดอยากเป็นครูสอนทุกคน

เมื่อเจ็ดขวบฉันมีฝันอยากท่องเที่ยว
อยากผอมเพียวจะได้เป็นดั่งฝัน
อยากเป็นแอร์บริการงานสัมพันธ์
แต่ความฝันย่อมเป็นฝันอยู่อย่างดี

พอสิบเจ็ดเข็ดแล้วฝันสลาย
เลิกงมงายเริ่มใหม่ฝันของฉัน
ฝันสุดท้ายนักพัฒนาชุมชนมั่น
จักสร้างสรรค์ชุมชนนั้นให้ได้ดี
การมีฝัน บรรลุฝันจริงแท้แน่
อย่ายอมแพ้ปล่อยลอยฝันให้หลุดหนี
แม้พลาดฝันยังมีวันทีแสนดี
                                          ทำตามที่ใจเรานั้นต้องการ...





















                                                          
                          หนึ่งในบารมี 10 ทัศ  หากเราได้นำมาใช้ในชีวิตของเรา
                         ก็จะทำให้เราเป็นอีกหนึ่งคน.....ในจำนวนคนอีกหลายร้อยคน
                         ที่จะประสบความสำเร็จ เพราะสัจจะบารมี คือ...การตั้งสัจอธิษฐาน
                         มีความจริงจัง จริงใจ ไม่ว่าเราจะทำ...จะพูด...จะคิด สิ่งใด
                         เราก็จะทำจริง พูดจริง...ความคิด...ความฝันของเราก็จะกลายเป็นจริง

บทความสุดท้ายยยยยย ^__^

บทความสุดท้าย
ของ นางสาวปิยธิดา  โตสงค์  ม.5/7  เลขที่ 19

          สวัสดีค่ะทุกคน นี่ก็เป็นบทความสุดท้ายของภาคเรียนที่ 1 แล้ว ก็อยากจะให้ข้อคิดเกี่ยวกับเรื่อง "การให้" ไว้ซะหน่อยนึง เผื่อใครที่ได้อ่าน อาจเปลี่ยนความคิดไปไม่มากก็น้อย....

.........การให้.........

          "การให้" คำนี้มีความหมายมากมายเต็มไปหมด นั่นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะนิยามความหมายของการให้ว่าอย่างไร แต่สำหรับดิฉันแล้ว การให้ ก็คือ เหตุที่ทำให้ทั้งผู้รับ และผู้ให้ มีความสุข การให้ เป็นการดำรงชีวิตในระดับสูงสุด และดิฉันเชื่อว่า "ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของชนทั้งหลาย"
          การให้ทานที่ถูกต้อง หรือการให้ทานด้วยความบริสุทธิ์ใจ คือ การให้ทานโดยไม่หวังผลใดๆ สิ่งที่เราให้ออกไปคือสิ่งที่เราได้กลับมา ถ้าคุณให้สิ่งที่ดี คุณก็จะได้รับสิ่งที่ดีกลับคืนมา ยิ่งคุณให้มาก คุณก็ยิ่งได้รับมากหรือได้กลับคืนมาเป็นสิบเท่า การให้ทานแก่ผู้อื่นควรทำแบบ ปิดทองหลังพระ นั่นก็คือ เมื่อเราให้โดยไม่หวังผล
ใดๆเลย เราจะรู้สึกปลอดโปร่งและมีความสบายใจ เราจะไม่มัวมากังวลและยึดติดว่า    เราได้ให้ไปแล้ว อย่างไรก็ตามฉันต้องได้กลับคืน หากมัวแต่คิดแบบนี้ การให้ของเราก็คงไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเป็นสุขเลย  

          ุกคนสงสัยไหมคะ ว่าทำไมในภาษาอังกฤษ "การให้" ถึงใช้คำว่า "GIVE" เราพอจะสรุปลักษณะของ "การให้" (GIVE) ที่ก่อให้เกิดสุข ได้ดังนี้
          G คือ Gladly (ให้ด้วยใจยินดี)
          I  คือ Impartially (ให้อย่างไม่ลำเอียง)
          V คือ Voluntarily (ให้ด้วยความสมัครใจ)
          E คือ Expecting Nothing Back (ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน)
          หากคุณให้ด้วยลักษณะเช่นนี้ จงรู้ได้เลยว่าเป็นการให้ที่ "มีคุณค่า" อย่างมากที่สุด
แล้วคุณเชื่อหรือไม่ว่า "การให้ มีความสุขยิ่งกว่าการรับ" ดิฉันเชื่ออย่างนั้นค่ะ
          หลายๆคนมักจะคิดว่า การได้รับนั้น เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะไม่ต้องเสียทรัพย์สินเงินทองอะไร ก็สามารถได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว หารู้ไม่ว่า ผู้ที่รับนั้น ก็คือผู้ที่ไม่มี แต่ผู้ที่ให้นั้น คือผู้ที่มีพร้อม เขาจึงเลือกที่จะให้ได้ ฉะนั้น "การให้ จึงมีความสุขยิ่งกว่ากว่าการรับ"
         



          ถ้าหากมีใครยังสงสัยว่าการให้มันคืออะไรกัน แล้วมันจะทำให้เรามีความสุขจริงหรือไม่ ลองดูคลิปวีดีโอต่อไปนี้กันค่ะ



ทุกคนจงจำไว้นะคะ "การให้ที่ยิ่งใหญ่ คือการให้ต่อไปไม่รู้จบ"

          คลิปวีดีโอข้างต้นนั้น แม้จะเป็นเพียงวีดีโอสั้นๆ แต่เมื่อดูแล้ว ก็ทำให้ได้คิดอะไรหลายๆอย่าง แต่หากยังคิดไม่ได้ หรืออยากจะรู้เกี่ยวกับ การให้มากขึ้น ลองฟังคลิปเสียงต่อไปนี้ดีกว่าค่ะ
          คลิปเสียงต่อไปนี้ เป็นคลิปเสียงจากพระไพศาล วิสาโล ท่านได้เทศน์เรื่อง ชีวิตสมดุลได้ด้วยการให้ ฟังแล้วรู้สึกดีมากๆค่ะ ดิฉันจึงอยากให้ทุกคนได้ฟังเช่นกัน




          สุดท้ายนี้ อยากฝากให้ทุกคน จงหมั่นให้ทานหรือสื่งที่มีค่าแก่ผู้ที่รู้จักคุณค่าหรือผู้ที่สมควรได้รับ เพื่อประโยชน์สุขแก่ตัวท่านเอง และแก่ผู้อื่นด้วย...

          ขอให้อานิสงค์ผลบุญ จากการให้ของท่าน นำพาให้ชีวิตของท่านประสบแต่ความสุข ความเจริญสืบไป...

*************************************************
 

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

บทความสุดท้ายยยยยยยยยยยย*

 บทความสุดท้ายของ
น.ส. สิริโสภา     นาคศรี
ชั้น ม.5/7  เลขที่ 42
                   "เหนื่อยนักก็พักก่อน"
     น่าตกใจที่หลายคนทำงานจนลืมพักผ่อน บ้างก็หองานกลับไปทำต่อที่บ้าน บ้างก็เหนื่อแทบตายแต่ก็ไม่กล้าที่จะขอลาสัก 1 วัน
และน่าสงสารที่สุดก็คือการที่เขาไม่ยอมพักบ้างเลยก็เป็นเพราะเขาคิดว่าการเป็นพนักงานที่ดีเด่นหรือพนักงานตัวอย่างได้
 ก็คือคนที่ไม่สาย ไม่ลา และไม่หยุดงานแม้สักวัน ทั้งๆ ที่ความเหนื่อยและความเครียดก็ก่อตัวมากขึ้นทุกที
   การลางานสักวันหรือลาในช่วงพักร้อนเป็นสิทธฺ์ที่คุณสมควรใช้อยู่แล้ว อย่าได้ใส่ใจกับคำพูดของเพื่อนร่วมงานที่ว่า
เธอจะต้องทำงานแทนคุณ  คุณทิ้งภาระให้เธอ  หรือพื่อนร่วมงานที่อวดว่าเธอไม่ยอมหยุดเลยเพราะรักบริษัทสุดๆ
    การตัดสินใจขึ้นอยู่กับคุณทุกอย่าง มื่อใครก็ตามเหนื่อยเต็มที่
เขาก็มีทางเลือกว่าเค้าจะหยุดสักนิดหรือจะไปต่อ แต่การหยุดสักนิดอาจจะดีกว่าเพราะคุณจะได้พักอีกสักหน่อยเพื่อเอาแรง
และพร้อมกับการก้าวต่อไปที่ง่ายกว่าแล้วถ้าคุณย้อนคิดดูครั้งสุดท้ายที่คุณได้ฟังเสียงคลื่นลม หรือชมดวงอาทิตย์ตก
ในสถานที่สวยงามและสงบสุขนั้น.....มันนานแค่ไหนแล้วเชียว  

 การพักผ่อน การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด ร่างกายจะได้ผ่อนคลายหลังจากทำกิจกรรมต่าง ๆ  มาตลอดทั้งวัน
 สมองและหัวใจจะทำงานน้อยลงในขณะที่เรานอนหลับ  ถ้าวัยรุ่นพักผ่อนไม่เพียงพอก็จะทำให้ร่างกายอ่อนล้า
ม่มีสมาธิในการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ   วัยรุ่นควรได้นอนหลับวันละประมาณ 8 – 10 ชั่วโมง  เป็นเวลาติดต่อกันในช่วงกลางคืน 
ซึ่งมีข้อควรปฏิบัติ ดังนี้
1. นอนในห้องที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวกไม่มีเสียงดังรบกวนการนอน
2. ก่อนเข้านอนไม่ควรออกกำลังกาย อ่านหนังสือ หรือดูโทรทัศน์ที่มีเรื่องราวตื่นเต้น  เพราะจะไปกระตุ้นสมองให้ตื่นเต้น และนอนไม่หลับได้
3. การดื่มนมอุ่น ๆ 1 แก้ว ก่อนเข้านอนจะช่วยให้นอนหลับ
ได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ควรดื่มน้ำชา  กาแฟ โกโก้ตั้งแต่ช่วงเย็นไปจนถึงก่อนนอน  และไม่ควรดื่มน้ำอัดลมประเภทน้ำดื่มก่อนนอน 
เพราะในเครื่องดื่มเหล่านี้จะมีสารคาเฟอินที่จะไปกระตุ้นประสาททำให้นอนหลับได้ยาก


*******************************************